แบตเตอรี่รถ EV จะถูกลงจริงหรือ? เจาะลึกอนาคตที่ทุกคนต้องรู้!
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นกระแสที่มาแรงในวงการยานยนต์โลก แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดรถ EV คือราคาแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างสูง คำถามที่หลายคนสงสัยคือ แบตเตอรี่ EV จะมีราคาถูกลงจริงหรือไม่? และเมื่อไหร่? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจแนวโน้มราคาแบตเตอรี่ EV ในอนาคต พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 12 นาที
ไฮไลท์สำคัญที่คุณจะได้รับหลังจากอ่านบทความนี้:
• เข้าใจแนวโน้มราคาแบตเตอรี่ EV ในอนาคตและปัจจัยที่ส่งผลกระทบ
• ทราบถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ EV
• เรียนรู้ผลกระทบของราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและผู้บริโภค
• เห็นภาพชัดเจนของการลดลงของราคาแบตเตอรี่ EV ผ่านตัวอย่างการคำนวณจริง
แนวโน้มราคาแบตเตอรี่ EV: จากอดีตสู่อนาคต
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าได้ลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากข้อมูลของ BloombergNEF พบว่าราคาเฉลี่ยของแบตเตอรี่ EV ได้ลดลงจากประมาณ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 37,400 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2010 เหลือเพียงประมาณ 132 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,488 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2021 [1] ซึ่งถือว่าลดลงกว่า 89% ภายในระยะเวลาเพียง 11 ปี
นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า ราคาแบตเตอรี่ EV จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดย McKinsey & Company ประเมินว่าราคาอาจลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,400 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงภายในปี 2024-2025 และอาจลดลงเหลือเพียง 58 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,972 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงภายในปี 2030 [2]
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูตัวอย่างการคำนวณราคาแบตเตอรี่ EV โดยใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Tesla Model 3 Standard Range Plus ซึ่งมีความจุแบตเตอรี่ 50 kWh:
1. ในปี 2010:
ราคาแบตเตอรี่ทั้งก้อน = 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh x 50 kWh = 55,000 ดอลลาร์สหรัฐ (1,870,000 บาท)
2. ในปี 2021:
ราคาแบตเตอรี่ทั้งก้อน = 132 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh x 50 kWh = 6,600 ดอลลาร์สหรัฐ (224,400 บาท)
3. คาดการณ์ปี 2025:
ราคาแบตเตอรี่ทั้งก้อน = 100 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh x 50 kWh = 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (170,000 บาท)
4. คาดการณ์ปี 2030:
ราคาแบตเตอรี่ทั้งก้อน = 58 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh x 50 kWh = 2,900 ดอลลาร์สหรัฐ (98,600 บาท)
จากตัวอย่างนี้ เราสามารถเห็นได้ว่าราคาแบตเตอรี่ EV มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากปี 2021 ถึง 2030 ราคาแบตเตอรี่อาจลดลงถึง 56% ซึ่งจะส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย
ปัจจัยขับเคลื่อนการลดลงของราคาแบตเตอรี่ EV
1. การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต
การปรับปรุงกระบวนการผลิตและการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติและระบบ AI ในการควบคุมคุณภาพ ช่วยลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ EV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท Tesla เป็นตัวอย่างที่ดีในการนำเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงมาใช้ในโรงงาน Gigafactory ของพวกเขา ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ [3]
2. การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิต
การขยายโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ทั่วโลกช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุนต่อหน่วย โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทเช่น CATL, BYD และ LG Energy Solution ได้ลงทุนมหาศาลในการขยายกำลังการผลิต ส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) [4]
3. การพัฒนาวัสดุใหม่
การค้นพบและพัฒนาวัสดุใหม่ๆ สำหรับแบตเตอรี่ EV ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต เช่น การใช้ซิลิคอนแทนแกรไฟต์ในขั้วลบ หรือการพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออน นักวิจัยจาก Stanford University และ MIT กำลังพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียม-เมทัล ซึ่งมีความจุพลังงานสูงกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิมถึง 2-3 เท่า [5]
4. การแข่งขันในตลาด
การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน บริษัทเช่น Panasonic, Samsung SDI และ SK Innovation ต่างเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด [6]
5. นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การให้เงินอุดหนุนการวิจัยและพัฒนา หรือการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ช่วยกระตุ้นการลงทุนและลดต้นทุนการผลิต ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลได้ออกมาตรการ Inflation Reduction Act ซึ่งให้เงินสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ EV ในประเทศ [7]
ผลกระทบของราคาแบตเตอรี่ EV ที่ลดลง
1. ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกลง
เมื่อราคาแบตเตอรี่ลดลง ราคารถยนต์ไฟฟ้าก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงรถ EV ได้ง่ายขึ้น และเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
จากตัวอย่าง Tesla Model 3 ที่เราใช้ก่อนหน้านี้ สมมติว่าแบตเตอรี่คิดเป็น 30% ของราคารถยนต์ทั้งคัน เราสามารถประมาณการราคารถได้ดังนี้:
– ราคารถในปี 2021: 224,400 / 0.3 = 748,000 บาท
– ราคารถในปี 2025 (คาดการณ์): 170,000 / 0.3 = 566,667 บาท (ลดลง 181,333 บาท หรือ 24%)
– ราคารถในปี 2030 (คาดการณ์): 98,600 / 0.3 = 328,667 บาท (ลดลง 419,333 บาท หรือ 56%)
จะเห็นได้ว่าในปี 2030 ราคารถอาจลดลงได้ถึงครึ่งหนึ่งของราคาในปัจจุบัน ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความคุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วไป [8]
2. การขยายตัวของตลาดรถ EV (ต่อ)
ราคารถ EV ที่ถูกลงจะช่วยกระตุ้นความต้องการในตลาด ทำให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า บริษัท ChargePoint และ EVgo ในสหรัฐอเมริกากำลังขยายเครือข่ายสถานีชาร์จอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถ EV [9]
ในประเทศไทย เราเห็นการลงทุนในสถานีชาร์จไฟฟ้าจากหลายภาคส่วน ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัทน้ำมันรายใหญ่ และผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถ EV มากขึ้น
3. การพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ
การลดลงของราคาแบตเตอรี่ EV จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) และเทคโนโลยีการชาร์จไฟเร็ว บริษัท ABB ได้พัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จไฟเร็วที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ EV ได้ถึง 80% ภายในเวลาเพียง 15 นาที [10]
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid (V2G) ที่ช่วยให้รถ EV สามารถส่งพลังงานกลับเข้าสู่ระบบไฟฟ้าได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าและสร้างรายได้เสริมให้กับเจ้าของรถ EV
4. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การเพิ่มขึ้นของการใช้รถ EV จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคขนส่ง ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว การศึกษาจาก International Council on Clean Transportation (ICCT) พบว่ารถ EV มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตน้อยกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในถึง 66-69% [11]
ในบริบทของประเทศไทย การเปลี่ยนมาใช้รถ EV จะช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
5. การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมพลังงาน
การเติบโตของตลาดรถ EV จะส่งผลต่อความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง Shell และ BP กำลังลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและสถานีชาร์จ EV เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ [12]
สำหรับประเทศไทย การเติบโตของรถ EV อาจเป็นโอกาสในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
ความท้าทายและอุปสรรคในการลดราคาแบตเตอรี่ EV
แม้ว่าแนวโน้มราคาแบตเตอรี่ EV จะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีความท้าทายและอุปสรรคบางประการที่อาจส่งผลต่อการลดราคาในอนาคต:
1. ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
ราคาของลิเธียม นิกเกิล และโคบอลต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ EV มีความผันผวนสูง และอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต [13] ในช่วงที่ผ่านมา ราคาลิเธียมมีความผันผวนอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาแบตเตอรี่ในระยะสั้น
2. ข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทาน
การขาดแคลนวัตถุดิบและปัญหาในห่วงโซ่อุปทานอาจส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่ EV สูงขึ้นในบางช่วงเวลา [14] เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งวัตถุดิบ
3. ความท้าทายด้านเทคโนโลยี
การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ อาจต้องใช้เวลาและการลงทุนสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาในระยะสั้น [15] เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ก้าวหน้า เช่น แบตเตอรี่โซลิดสเตท (Solid-state battery) ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายปีก่อนจะสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้
4. ความต้องการที่เพิ่มขึ้น
การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถ EV อาจทำให้ความต้องการแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นในบางช่วง [16] ในประเทศไทย การส่งเสริมการใช้รถ EV ผ่านนโยบาย 30@30 (30% ของการผลิตยานยนต์ในประเทศเป็นยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030) อาจทำให้เกิดความต้องการแบตเตอรี่ EV เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
บทสรุป
แนวโน้มราคาแบตเตอรี่ EV ในอนาคตมีทิศทางที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การลดลงของราคาแบตเตอรี่ EV จะส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านไปสู่การคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากตัวอย่างการคำนวณที่เราได้เห็น ราคารถ EV อาจลดลงได้ถึง 56% ภายในปี 2030 ซึ่งจะทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ เช่น ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทาน การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัยจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV และลดต้นทุนการผลิตอย่างยั่งยืน
สำหรับประเทศไทย การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบุคลากร และการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV จะช่วยให้ประเทศสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในฐานะผู้บริโภค การติดตามแนวโน้มราคาแบตเตอรี่ EV และพัฒนาการของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อรถ EV ได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่าในอนาคต การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
[แหล่งอ้างอิง]
[1] BloombergNEF. (2021). Battery Pack Prices Cited Below $100/kWh for the First Time in 2020, While Market Average Sits at $137/kWh.
[2] McKinsey & Company. (2022). The future of battery cost and performance.
[3] Tesla. (2022). Tesla Gigafactory.
[4] Reuters. (2022). China’s CATL to build $5 billion battery plant in Indonesia.
[5] Nature. (2021). Lithium metal batteries with over 50% efficiency at 350 Wh kg−1 and 700 Wh L−1 via optimized solvent chemistry.
[6] S&P Global. (2022). Battery makers ramp up production in race to power EVs.
[7] U.S. Department of Energy. (2022). President Biden’s Inflation Reduction Act Passes Congress.
[8] InsideEVs. (2022). Tesla Model 3 Price History From 2017 To 2022.
[9] ChargePoint. (2022). ChargePoint Reports Fourth Quarter and Full Fiscal Year 2022 Financial Results.
[10] ABB. (2022). ABB launches world’s fastest electric car charger.
[11] International Council on Clean Transportation. (2021). A global comparison of the life-cycle greenhouse gas emissions of combustion engine and electric passenger cars.
[12] Shell. (2022). Shell’s electric vehicle charging strategy.
[13] Reuters. (2022). Lithium price rally fuels record profits for Chinese battery giant CATL.
[14] IEA. (2022). Global Supply Chains of EV Batteries.
[15] Nature. (2022). Challenges and prospects of new-generation solid-state batteries.
[16] IEA. (2022). Global EV Outlook 2022.
ช่องทางติดต่อ สอบถาม และขอใบเสนอราคา