แนะนำรถบรรทุก ISUZU 4 ล้อ NLR 130 อ่านจบตัดสินใจได้ทันที

ISUZU 4 ล้อ NLR 130

NLR รถเล็ก แต่พลังไม่เล็ก

รถบรรทุกอีซูซุ 4 ล้อ รุ่น NLR คือรถบรรทุกที่มีความคล่องตัวสูง สามารถนำไปจดทะเบียนแบบรถกระบะป้ายเขียวได้ ทำให้สะดวกสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเน้นทำรอบ สามารถขนส่งสินค้าได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ไม่ติดเรื่องเวลา เหมาะสำหรับงานบรรทุกโดยเฉพาะงานที่วิ่งในเขตเมือง ทางลาดชัน ส่วนใหญ่รถรุ่นนี้มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับตัวรถปิคอัพ

รถ isuzu
ต่อตัวถัง isuzu
แบบตัวถัง NLR

รูปแบบการต่อตัวถังสำหรับรถ ISUZU NLR

สำหรับท่านที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจและเกิดความลังเลว่าจะเลือกรุ่นไหนดี รถบรรทุก 4 ล้อ หรือ 6 ล้อ บทความวันนี้จะทำให้ลูกค้ารู้จักกับ รถบรรทุกอีซูซุ 4 ล้อ รุ่น NLR มากขึ้น และหากอ่านจบจะสามารถเลือกรุ่นได้อย่างถูกต้องแม่นยำและไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

รถบรรทุกสีชมพู
รถบรรทุก isuzu
รถบรรทุก isuzu สีชมพู

รหัสรุ่น และความหมาย

สำหรับ 2 รุ่นนี้ จะมีรหัสรุ่นคือ NLR LITE ใช้รหัส NLR77EXXXW และ NLR 130 ใช้รหัส NLR85EXXXU สำหรับรหัสประจำรุ่นนั้น แต่ละตัวอักษรและตัวเลข จะมีความหมายประจำหน่วย เพื่อให้ท่านทราบที่มาที่ไป ดังนี้

(อ่านเพิ่มเติม: spec sheet NLR 130 และ รุ่น LITE)

isuzu model NLR code

ตำแหน่งที่ 1 ตัว N หมายถึง รถบรรทุกขนาดกลางตระกูล N หรือว่า N Series นั่นเอง

ตำแหน่งที่ 2 ตัว L ตำแหน่งนี้จะบอกถึงน้ำหนักบรรทุกรวมหรือว่า GVW โดยที่ตัว L นั้นจะเป็นช่วงของ GVW ที่อยู่ในช่วงน้ำหนัก 3.5-5.0 ตัน

ตำแหน่งที่ 3 ตัว R บ่งบอกถึงระบบขับเคลื่อน ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนที่เป็นแบบ 4*2 ซึ่งจะเป็นรถบรรทุก 4 ล้อหรือรถบรรทุก 6 ล้อก็ได้ แต่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนแบบเพลาเดียว

ตำแหน่งที่ 4 และตำแหน่งที่ 5 จะบอกถึงเลขเครื่องยนต์ เลข 77 ของรุ่น NLR LITE ใช้เครื่องยนต์รุ่น 4JH1E3N และ NLR 130 จะใช้เครื่องยนต์ในรุ่น 4JJ1E3N

ตำแหน่งที่ 6 บอกถึงช่วงฐานล้อ ที่เป็นตัว E ทั้งสองรุ่นนั้น จะมีช่วงฐานล้อหรือว่า Wheel base อยู่ที่ 2,451- 2,600 มิลลิเมตร

ตำแหน่งที่ 7 ตัว X จะบอกถึงว่ากำลังเครื่องยนต์ในรุ่นนั้น หรือแรงม้า ว่ามีให้เลือกหรือไม่ ถ้าเป็นตัว X นั่นหมายความว่ารถรุ่นนี้ จะมีมีแรงม้าให้เลือกเพียงแรงม้าเดียว ไม่มีแรงม้าขนาดอื่นให้เลือกเพิ่มเติม

ตำแหน่งที่ 8 ก็จะบอกถึงอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งเป็นตัว X เช่นกัน นั่นหมายถึงว่ารถรุ่นนี้ไม่มีอุปกรณ์พิเศษให้ติดตั้งหรือให้เลือกเพิ่มเติม

ตำแหน่งที่ 9 บอกถึงอัตราทดเฟืองท้าย ซึ่งเป็นตัว X เช่นกัน นั่นหมายถึงว่ารถรุ่นนี้ ไม่มีอัตราทดเฟืองท้ายให้เลือก มีอัตราทดเฟืองท้ายเพียงอัตราทดเดียว

ตำแหน่งที่ 10 ตำแหน่งสุดท้าย บอกถึงปีรุ่นปีของรถ ตัว U บอกถึงปีนี้ผลิตก็คือปี 2017 ตัว V คือปี 2018 และตัว W จะเป็นปี 2019 นั่นเอง เรียบตามลำดับ

คุณลักษณะพิเศษ

ความพิเศษของในรุ่น NLR 130 นั้น เครื่องยนต์ตัวนี้มีความพิเศษหลักๆ ได้แก่ เพลาลูกเบี้ยว หรือที่เรียกกันว่า Double Overhead Camshaft (DOHC) ซึ่งทำให้การควบคุมกลไกการเปิดปิดวาล์วทำได้ดีเยี่ยม ควบคุมได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกเรื่องก็คือ Roller Rocker Arm ตรงกลไกเพลาลูกเบี้ยวจะมีตัว Roller หรือว่าตัวลูกปืนอยู่ เวลาที่เตะกระเดื่องวาล์วเปิดปิด ตัว Roller นี้จะทำให้ลดแรงเสียดทานในการเตะเปิดปิดวาล์ว

ทำให้ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ช่วยให้เครื่องยนต์แข็งแรงทนทาน และที่สำคัญก็จะช่วยลดการสึกหรอ บำรุงรักษารถง่ายขึ้น และสุดท้ายทั้งหมดทั้งปวงก็จะทำให้เครื่องยนต์ มีสมรรถนะที่ดีเยี่ยม ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก

บรรทุก ISUZU NLR 130

สำหรับรุ่น NLR 130 จะมีความพิเศษอีกเรื่องตรงที่จะมีตัว SRS Airbag หรือว่าถุงลมที่บริเวณฝั่งผู้ขับขี่ จะทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุนั้น เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับจะทำงานร่วมกับถุงลม โดยที่ทำหน้าที่ดึงรั้งไม่ให้ตัวผู้ขับขี่นั้นไปปะทะกับถุงลมโดยตรงช่วยรักษาชีวิตผู้ขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

พอพูดถึงเรื่องความปลอดภัยมีอีกเรื่องคือ ทั้ง 2 รุ่นนี้ ใช้หัวเก๋งไซส์เดียวกัน นั่นก็คือไซส์ 2X ซึ่งเป็นหัวเก๋งที่มีขนาดกระทัดรัด เหมาะสำหรับการวิ่งขนส่งในเขตเมืองโดยเฉพาะงานที่จะต้องเข้าตรอกซอกซอยถนนแคบๆ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ทำได้ดีเยี่ยม โครงสร้างหัวเก๋งตัวนี้เป็นโครงสร้างหัวเก๋งแบบประกบติดหรือที่เรารู้จักกันในนามว่า Close section หรือโครงสร้างหัวเก๋งแบบประกบติด จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับรถเก๋งลดการยุบตัว โดยเฉพาะเวลาที่เกิดอุบัติเหตุช่วยรักษาชีวิตผู้โดยสารที่อยู่ภายในได้อย่างดีเยี่ยม

ในส่วนของช่วงล่างนั้นทั้ง 2 รุ่นนี้ใช้ช่วงล่างแบบเดียวกันทั้งหมด ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง โดยที่ช่วงล่างหลักๆ นั้นก็คือเป็นช่วงล่างแบบแหนบ นั่นก็คือเป็นชุดแผ่นเหล็ก ซ้อนกันเรียงกันหลายๆ ชั้น จะมีโลโก้ ISUZU ติดอยู่ และทั้ง 2 รุ่นยังมีความพิเศษ ก็คือมีการติดตั้งตัว Stabilizer หรือเหล็กกันโคลงหน้า เอาไว้ทั้ง 2 รุ่นเลย ทำหน้าที่ช่วยในการลดการยุบตัวของล้อหน้าฝั่งซ้ายและล้อหน้าฝั่งขวา

ไม่ให้ยุบตัวแตกต่างกันมากนักทำให้การทรงตัวในการขับขี่ดีขึ้น เรียกว่าการเกาะถนน การเลี้ยวโค้งทำได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนั้นยังมีโช้คกันสะบัดทำหน้าที่ลดแรงสั่นสะเทือนในระบบบังคับเลี้ยว ก็จะช่วยให้ ระบบบังคับเลี้ยวสั่นสะเทือนน้อยลง การควบคุมพวงมาลัยทำได้ดียิ่งขึ้น การควบคุมรถก็ทำได้ดีขึ้นตามไปด้วยทำให้การควบคุมรถและการทรงตัว ทั้งหมดนี้ทำให้การขับขี่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น

น้ำหนักบรรทุกสินค้า

สำหรับ รถบรรทุกอีซูซุ 4 ล้อ รุ่น NLR เรื่องของปริมาตรการบรรทุกรุ่น NLR 1 คัน จะเปรียบเทียบปริมาตรการบรรทุกที่มากกว่ารถปิคอัพทั่วไป กล่าวคือได้เท่ากับรถปิคอัพทั่วไป 1.5 คันหรือ 1 คันครึ่งนั่นเอง แต่ถ้าหากเปรียบในอีกมุมคือเปรียบกับเรื่องของน้ำหนักบรรทุก รถบรรทุกอีซูซุ 4 ล้อ รุ่น NLR สามารถบรรทุกน้ำหนักได้เทียบเท่ากับรถปิคอัพถึง 2 คันเลยทีเดียว

พิกัดน้ำหนักบรรทุก ISUZU NLR 130

หากต้องการนำรถบรรทุกอีซูซุ 4 ล้อ รุ่น NLR ไปจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกส่วนบุคคล สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านต้องทราบ และศึกษาข้อมูลโดยละเอียดก่อนนำรถไปต่อตัวถัง นั่นก็คือพิกัดจดทะเบียนสำหรับรถบรรทุกส่วนบุคคลนั้น จะต้องมีน้ำหนักตัวรถรวมตัวถังอยู่ที่ไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม เปรียบเทียบให้เห็นภาพ นั่นก็คือรุ่น NLR 130 จะมีน้ำหนักหัวเก๋งรวมกับแชสซีส์รถอยู่ที่ 1,850 กิโลกรัม ดังนั้นจะเหลือน้ำหนักสำหรับการวางตัวถัง หรือต่อตัวถังอยู่ที่ 350 กิโลกรัม เพื่อให้น้ำหนักรวมทั้งหมดไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม

สำหรับรุ่น NLR LITE น้ำหนักหัวเก๋งรวมกับแชสซีส์รถอยู่ที่ 1,720 กิโลกรัม ซึ่งถ้าหากเอาไปหักลบจาก 2,200 กิโลกรัม แล้วนั้น จะทำให้มีน้ำหนักที่สามารถวางตัวถังได้สูงถึง 480 กิโลกรัม และน้ำหนักที่ต่างกันนี้เอง ก็จะทำให้รุ่น NLR LITE นั้น เวลาไปต่อตัวถังนั้นสามารถวางอุปกรณ์ ทำตัวถังที่ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักมากกว่า หรือวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานกว่า NLR 130

รถบรรทุก ISUZU NLR 130
ISUZU NLR 130

แต่อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในเชิงของน้ำหนักบรรทุกที่เหลือสำหรับบรรทุกสินค้านั้น น้ำหนักทั้งหมด อันได้แก่น้ำหนักหัวเก๋งรวมกับแชสซีส์และตัวถัง รุ่น NLR LITE จะพิกัดอยู่ที่ 4,200 กิโลกรัม ส่วน NLR 130 จะอยู่ที่ 4,400 กิโลกรัม หรือเหลือน้ำหนักไว้บรรทุกสินค้าได้มากกว่าถึง 200 กิโลกรัมนั่นเอง

สำหรับการเลือกรุ่นรถบรรทุก 4 ล้ออีซูซุนั้น หากลูกค้าเพียงต้องการใช้งานขนส่งแค่ในเขตเมือง วิ่งขนส่งทั่วไป NLR LITE ถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม มีสมรรถนะที่เพียงพอ โดยเฉพาะถ้าหากเปรียบเทียบกับรถบรรทุก 4 ล้อรุ่นเก่าของอีซูซุอย่างเช่น NKR มีแรงม้าเพียง 100 แรงม้า รุ่นปัจจุบันก็ถือว่าตอบโจทก์ วิ่งงานขนส่งได้สบายๆ แต่ถ้าหากลูกค้ามีความต้องการมากกว่านั้นเช่นต้องการเน้นทำความเร็ว วิ่งเส้นทางภูเขา ผ่านทางลาดชันบ่อยครั้ง NLR 130 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีไม่แพ้กัน

เครื่องยนต์และเกียร์

เครื่องยนต์รถบรรทุกรุ่น ISUZU NLR LITE

NLR LITE ใช้เครื่องยนต์รุ่น 4JH1E3N

เครื่องยนต์รถบรรทุกรุ่น ISUZU NLR 130

NLR 130 จะใช้เครื่องยนต์ในรุ่น 4JJ1E3N

เกียร์รถบรรทุกรุ่น ISUZU NLR 130

NLR LITE ใช้เกียร์รุ่น MSB5S

เกียร์รถบรรทุกรุ่น ISUZU NLR LITE

NLR 130 ใช้เกียร์รุ่น MYY5T

สำหรับในส่วนของเครื่องยนต์นั้น NLR LITE ใช้เครื่องยนต์รุ่น 4JH1E3N เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2,999 cc เป็นแบบ Super Common rail พร้อมเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดที่ 104 แรงม้าที่ 3,200 รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุดขนาด 230 นิวตันเมตรที่ 1,400 ถึง 3,200 รอบต่อนาที

เรียกว่าให้กำลังดี มีสมรรถนะที่ดีเยี่ยมและที่สำคัญคือได้แรงบิดแบบ Flat Torque และรุ่นนี้พิเศษตรงที่แรงบิดแบบสังเคราะห์นั้นเป็นแรงบิดช่วงที่กว้างที่สุดในบรรดาเครื่องยนต์ของรถบรรทุกอีซูซุด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นทำให้การขับขี่ได้ง่าย กำลังดีต่อเนื่อง และที่สำคัญประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างมาก

เซลล์ตูน ขายรถอีซูซุราคาถูก
เซลล์ตูน ขายรถบรรทุกอีซูซุ
ธพัศ แสงนุภา
เซลล์ตูน ขายรถอีซูซุป้ายแดง

สำหรับรุ่น NLR 130 จะใช้เครื่องยนต์ในรุ่น 4JJ1E3N เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2,999 cc เช่นเดียวกัน เป็นแบบ Super Common rail พร้อมเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดที่ 130 แรงม้า ที่ 3,050 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 330 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที ให้สมรรถนะสูง กำลังดีเยี่ยม แล้วก็ได้แรงบิดได้แรงบิดแบบ Flat Torque เช่นเดียวกัน

รถบรรทุก ไม่ติดเวลา
รถบรรทุกป้ายเขียว
รถบรรทุก น้ำหนักเบา
รถบรรทุกขายดี

ต่อมาในเรื่องของระบบส่งกำลัง เรามาเริ่มต้นกันที่รุ่น NLR LITE จะเป็นเกียร์ MSB5S ก็จะเป็นลักษณะการเข้าเกียร์ 1 ก็คือจะผลักซ้ายแล้วดันขึ้น ส่วนเกียร์ถอยก็คือจะเป็นฝั่งขวาสุดเแล้วดึงลง สำหรับเรื่องของระบบส่งกำลังส่วนอื่นๆ ก็ทำให้เครื่องยนต์ตัวนี้มีสมรรถนะดีเยี่ยมแล้วก็ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมเช่นเดียวกัน สำหรับในเรื่องของระบบส่งกำลัง เป็นแบบ 5 เกียร์เดินหน้าพร้อมโอเวอร์ไดร์ฟที่เกียร์สูงสุด โดยลักษณะที่แพทเทิร์นเกียร์ของตัว MSB5S จะแตกต่างกับตัว NLR 130 มาพร้อมอัตราทดเฟืองท้ายขนาด 4.555 หรือ 41/9

สำหรับรุ่น NLR 130 นั้น ก็จะใช้เกียร์รุ่น MYY5T แบบ 5 เกียร์เดินหน้าพร้อมโอเวอร์ไดร์ฟที่เกียร์สูงสุด โดยที่ชิปแพทเทิร์นนลักษณะของเกียร์รุ่น MYY5T ก็จะเป็นลักษณะแบบเกียร์ 1 ผลักซ้ายแล้วก็ดึงลงล่าง ส่วนเกียร์ถอยนั้นผลักซ้ายแล้วดันขึ้น ตามชิปแพทเทิร์นที่ปรากฏอยู่บนหัวเกียร์แล้วก็ระบบส่งกำลังก็จะมาพร้อมกับตัวอัตราทดเฟืองท้ายขนาด 3.909 หรือ 43/11

ภายในห้องโดยสาร

สำหรับในส่วนของภายในนั้นก็จะมีเรียกว่ามีความพร้อมครบครันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบายหรือความปลอดภัย เริ่มต้นกันที่อย่างแรกก่อนทั้ง 2 รุ่น นั้น ห้องโดยสารจะสังเกตได้ว่ามีความปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่อึดอัดโดยเฉพาะสำคัญมากๆ สำหรับผู้โดยสารและผู้ขับขี่ที่ต้องเดินทางไกล

นอกจากนั้นในเรื่องของความสะดวกสบายยังมีในเรื่องของกระจกไฟฟ้า ที่สามารถกดปุ่มสั่งการได้จากทั้งฝั่งผู้โดยสาร และฝั่งผู้ขับขี่ และยังมีตัวเซ็นทรัลล็อค ที่สามารถสั่งการได้จากทางฝั่งผู้ขับขี่ด้วย นอกเหนือจากกระจกไฟฟ้าเซ็นทรัลล็อคแล้วก็ยังมีเรื่องของระบบแอร์ ระบบแอร์รุ่นนี้ แอร์จะเป็นแบบ Full Mode Control ปรับได้ 2 แบบ 6 ทิศทาง

กล่าวคือ 2 แบบนั้นก็คือสามารถปรับอากาศจากภายนอกเข้าห้องโดยสารหรือปรับให้อากาศหมุนเวียนเฉพาะภายในห้องโดยสาร 6 ทิศทางก็คือสามารถปรับเป่าขาได้ เป่าไล่ฝ้าที่กระจกหน้าและกระจกด้านข้างเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ได้ และนอกเหนือจากความสะดวกสบายแล้วก็ยังมีเรื่องของความปลอดภัย เข็มขัดนิรภัยจะมีให้แบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง คือตำแหน่งผู้โดยสาร และตำแหน่งผู้ขับขี่ และแบบ 2 จุด 1 ที่นั่ง ในตำแหน่งผู้โดยสารที่นั่งกลาง

ระบบเซ็นทรัลล็อค ISUZU

แอร์จะเป็นแบบ Full Mode Control

ปรับได้ 2 แบบ 6 ทิศทาง

กระจกไฟฟ้า

กระจกไฟฟ้าแบบเซ็นทรัลล็อค

สำหรับ NLR LITE เนื่องจากใช้ไฟเพียง 12 โวลต์ ดังนั้นวิทยุจะเป็นเพียงรุ่นเดียวที่ใช้วิทยุของ Sony เล่นได้ครบทั้งซีดีและ USB สำหรับ NLR 130 นั้น เนื่องจากใช้ระบบไฟแบบ 24 โวลต์ วิทยุจะเป็นยี่ห้อของ Isuzu เอง เล่นได้ครบทั้ง CD และ USB พิเศษตรงที่ตัวล่าสุดสามารถเล่น Bluetooth ได้ เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเปิดฟังเพลงได้เลย เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ไม่ให้น่าเบื่อตลอดการเดินทาง

ภาพรวมภายนอกตัวรถ

ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมีค่า CE หรือ Cab to end หรือช่วงของการวางตัวถังเท่ากันทั้ง 2 รุ่นคือมีค่าอยู่ที่ 3,021 มม. และสามารถนำไปวางตัวถังที่มีความยาวตู้ได้ยาวสุดก็คือประมาณ 3 เมตรด้วยกัน

สำหรับภายนอก กระจกมองข้างก็จะเป็นลักษณะบานใหญ่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวารวมไปถึงมีกระจกส่องกันชนหน้าช่วยเพิ่มมุมมองและทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงกระจกมองข้างตัวนี้ ก้านกระจกก็สามารถพับเก็บได้ด้วย เวลาเข้าพื้นที่แคบๆ ก็สามารถพับก่อนได้ พอพ้นพื้นที่แคบก็ดึงออกมาเพื่อใช้งานต่อได้

นอกจากนั้น ในส่วนของภายนอกยังมีชุดระบบส่องสว่าง โคมไฟหน้า จะเป็นโคมไฟแบบ Multi reflector ส่องสว่าง ทัศนวิสัยดี รวมถึงออกแบบดีไซน์ให้รวมชุดไฟหน้าไฟเลี้ยวอยู่ในชุดเดียวกันในโครงสร้างเดียวกัน ดีไซน์สวยทันสมัย อีกทั้งยังมีไฟตัดหมอกที่บริเวณแผงกันชนทั้งด้านหน้า ช่วยเพิ่มการส่องสว่างเพิ่มทัศนวิสัยในยามที่ต้องการใช้ด้วย

ไฟหน้า NLR Lite
รถบรรทุก ISUZU NLR 130

ในส่วนของล้อและยาง สำหรับทั้งสองรุ่นก็จะใช้ยางขนาดเดียวกันเป็นยางเรเดียลแบบไม่มียางใน ขนาด 225/75 R15C ซึ่งเป็นยางรุ่นยอดนิยมในท้องตลาดสำหรับรถบรรทุก 4 ล้อ และที่สำคัญล้อและยางตัวนี้ มาพร้อมกับกระทะล้อแบบอลูมิเนียมอัลลอย ขนาด 6.00J ขอบ 15 นิ้ว ล็อคล้อ 6 ตัว

ซึ่งกระทะล้อตัวนี้เป็นกระทะล้อที่มีความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือเป็นกระทะล้อที่ผลิตจากโรงงานโดยตรงทำให้มีความแข็งแรงมากกว่ากระทะล้อที่ติดตั้งกันอยู่ทั่วไป เพราะตัวนี้จะไม่มีรอยเชื่อมต่อใดๆ เลย ในขณะที่กระทะล้อทั่วไป หรือที่เราเรียกกันว่ากระทะล้อผ่านั้นจะมีรอยเชื่อมต่อ ซึ่งไม่ใช่แบบมาตรฐาน ทำให้ความแข็งแรงนั้นด้อยลงไป

ในส่วนของระบบไฟ เรามาเริ่มต้นกันที่ NLR LITE กันก่อน สำหรับระบบไฟ จะมีความพิเศษอย่างนึงก็คือระบบไฟจะเป็นระบบไฟแบบ 12 โวลต์ ดังนั้น ระบบไฟ 12 โวลต์นี้ สิ่งที่ตามมาก็คือจะใช้แบตเตอรี่แค่ 12 โวลต์ ขนาด 75 แอมป์ จำนวนเพียงลูกเดียว ซึ่งจะเป็นรถบรรทุกอีซูซุเพียงรุ่นเดียวที่ใช้แบตเตอรี่เพียง 1 ลูก

ข้อดีก็คือจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ในอนาคต ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่างๆ ก็จะลดลงไป ส่วนในรุ่นของ NLR 130 นั้นก็จะแตกต่างออกไป เพราะจะใช้ระบบไฟแบบรถบรรทุกรุ่นอื่นๆ ก็คือเป็นระบบไฟแบบ 24 โวลต์ ใช้แบตเตอรี่แบบ 12 โวลต์ 70 แอมป์ 2 ลูก เช่นเดียวกับรถบรรทุกขนาดใหญ่รุ่นอื่นๆ

ยางเรเดียลแบบไม่มียางใน ขนาด 225/75 R15C

NLR Lite ท่อแป๊บน้ำ

ภาพผลงานจริงรถรุ่น NLR Lite 104 แรงม้า

บทสรุป

จุดเด่นที่แตกต่างกันของรถทั้ง 2 รุ่น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เอาไว้แยกรุ่น ให้ทุกท่านสามารถเลือกใช้งานให้เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมรรถนะ น้ำหนักบรรทุก ระบบไฟ หากต้องการวิ่งขนส่งในเขตเมือง ต้องการตัวถังที่แข็งแรง หรือมีความต้องการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ NLR LITE ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสม

แต่ถ้าหากลูกค้าต้องการเอารถไปใช้งานวิ่งขนส่งผ่านทางภูเขา ผ่านทางลาดชันเยอะๆ เน้นทำความเร็ว NLR 130 ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

ช่องทางติดต่อ สอบถาม และขอใบเสนอราคา

เซลล์ตูน ขายรถอีซูซุราคาถูก
เซลล์ตูน อีซูซุ
เซลล์ตูน ขายรถบรรทุกอีซูซุ
เซลล์ตูน ขายรถอีซูซุป้ายแดง
เซลล์ตูน ขายรถอีซูซุพร้อมตารางผ่อน